โดย รศ.ดร.อัญชลี สงวนพงษ์
เครือข่ายนวัตกรรมอินทรีย์ (Organic Agriculture Innovation Network: OAIN)
วิทยาลัยเกษตรอินทรีย์นานาชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
ทำไมเราจึงต้องสนใจเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางออร์แกนิคและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม (Organic and Natural Cosmetic & Healthcare Products) จากข้อมูลการศึกษาแนวโน้มการตลาดในภาคอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของโลกของหลายสำนักวิจัย ได้มีการแบ่งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางออกเป็นหลายกลุ่ม (Segments) Statista (Germany) ระบุว่ากลุ่มที่มีความโดดเด่นมากที่สุดคือกลุ่ม Organic skincare มีสัดส่วนในตลาดโลกถึง 36.4 % ในปี 2016 และรายงานของ Grand View Research, Inc. ก็ระบุว่าผลิตภัณฑ์กลุ่ม Organic skincare จะเติบโตไปถึง 12.58 พันล้านยูเอสดอลล่าร์ กลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า โลชั่นบำรุงผิว ซันสกรีน ฯลฯ เติบโตไปพร้อมๆกับความตื่นตัวของผู้บริโภคที่สนใจในผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมโลก ปฏิเสธการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ aluminum salts, parabens และ phthalates ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง Life style ของผู้บริโภค และจะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคการผลิตสินค้าออร์แกนิคและแนชเชอร์รัลขยายตัวต่อไปได้อีกมากในอนาคต
อัตราการเติบโตของตลาด skin care ในสหรัฐอเมริกาในระหว่างปี 2012-2022 (USD Billion)
เมื่อพูดถึง Beauty Market ตลาดเพื่อสุขภาพและความสวยความงามในตลาดโลกที่เป็นออร์แกนิคมีมูลค่าการเติบโตมหาศาล หลายท่านที่เคยไปร่วมงาน BIOFACH ที่เยอรมันนี จะเห็นว่ามีเวทีคู่ขนานที่เป็นสินค้าความสวยความงามมีขนาดใหญ่โตมากเรียกว่า VIVANESS ที่นี่เราจะเห็นสินค้าหลากหลาย และมีความเป็นนวัตกรรม เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค
มูลค่าการตลาดของ Natural and Organic Beauty Market ในปี 2027 จะอยู่ที่ 54,000 ล้านยูเอสดอลล่าร์
มีรายงานผลการวิจัยของบริษัทผลิตเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของโลกที่เก็บรวบรวมข้อมูลในปลายปี 2019 ระบุว่าแนวโน้มอัตราการเติบโตของรายได้ภาคอุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีมากกว่า 10 % (CAGR = Compound Annual Growth Rate) ซึ่งเป็นการวัดเปอร์เซนต์การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยเฉลี่ยต่อปี และภูมิภาคที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเร็วและมากอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียและแปซิฟิค
การคาดการณ์ (forecast) สำหรับตลาดในภาพรวมถึงปี 2025 จะโตขึ้นได้อีก 10% นอกจากนี้ยังมีความน่าสนใจของตลาดเฉพาะทาง (Niche market) ที่เกิดขึ้นใหม่ในขณะนี้คือ ฮาลาลคอสเมติก (Halal cosmetics) ที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คาดว่าอาจจะโตถึง 15% จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากความเป็นออร์แกนิคและแนชเชอร์รัล
ตลาดเครื่องสำอางเดิมกลุ่ม Color cosmetic เครื่องสำอางที่ให้สีทั้งหลาย เช่น ลิปสติก อายแชโด้ ฯลฯ มีอัตราการเติบโตมากถึง 7.4 %
จากอัตราการเติบโตของมูลค่าการตลาดบางส่วนที่กล่าวถึง จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการใหม่ๆที่จะเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้
ปัจจุบันมีหลายประเด็นเกี่ยวกับนวัตกรรมที่มีความยั่งยืนที่โลกให้ความสนใจ เกี่ยวข้องทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ (Upstream, Midstream, Downstream)
ภายใต้ Trends เหล่านี้ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อินทรีย์และผลิตภัณฑ์แนชเชอร์รัลจำนวนมากที่ดึงเอาหัวใจของการสร้างความยั่งยืนมาสร้างเป็นความโดดเด่นให้กับสินค้า เช่น บางบริษัทผลิตสินค้าประเภทแนชเชอร์รัลโพรดักส์ ก็จะพูดถึงที่มาของวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมว่านอกจากจะดีต่อชุมชนแล้วยังดีต่อโลกใบนี้ด้วย ทำให้สร้างความรู้สึกปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคได้ ในขณะที่บางบริษัทก็กล่าวว่าที่มาของวัตถุดิบทั้งหมดมาจากพืชเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมที่มาจากการทดลองในสัตว์เลย ซึ่งจะเห็นว่าได้มีความพยายามในการตีความในเชิงของ ethical sourcing of ingredients อีกด้วย
สิ่งที่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางจำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง คือการตื่นตัวหรือความตระหนักของผู้บริโภคปลายทาง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบจากระบบเกษตรอินทรีย์ หรือจากธรรมชาติมาเป็นส่วนผสม ก็จะทำให้ผู้บริโภคให้การยอมรับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยอย่างแน่นอน เรื่องที่สองคือการดูแลสิ่งแวดล้อม การใช้เครื่องสำอางของผู้บริโภคเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร ทั้งสองเรื่องนี้ได้ถูกเขียนไว้เป็นข้อกำหนดในมาตรฐาน ACT C&H ทั้งหมดแล้ว
ผู้บริโภคปลายทางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราคือใครบ้าง ก็คือผู้ที่อยู่กับโลกสีเขียว ผู้ที่มีความตระหนักในเรื่องความซื่อสัตย์ของแบรนด์ที่รับใช้สังคม แบรนด์ที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ และมีความตระหนักในเรื่องของนวัตกรรม เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการที่จะทำงานเกี่ยวกับสินค้ามาตรฐานสากลไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคไหนก็ตาม จะต้องคิดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย
ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วได้ถูกนำมาเขียนไว้ในหลักการและความมุ่งหมายของการจัดทำมาตรฐาน ACT C&H ในข้อแรกคือ ส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบและผลพลอยได้จากเกษตรอินทรีย์มาใช้อย่างกว้างขวาง ประโยคนี้สะท้อนถึง Global trend ทุกประเด็น รวมถึง Global innovation trend และ Key market overview
หลักการและความมุ่งหมายข้อที่สอง ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ข้อนี้เป็นหัวใจของมาตรฐาน จึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการให้ความสนใจใช้มาตรฐาน ACT C&H เพราะเป็นประเด็นระดับโลก และมีความมุ่งหวังให้ ACT C&H เป็นสปริงบอร์ดให้ผู้บริโภค เป็นสปริงบอร์ดให้ผู้ผลิตได้มาพบเจอกัน และสร้างชุมชนของผู้ผลิตผู้บริ่โภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใส่ใจสุขภาพ ใส่ใจต่อระบบเกษตรกรรมที่ดี ใส่ใจต่อแหล่งที่มาของวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งวัตถุดิบที่มาจากระบบเกษตรอินทรีย์ และเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบต่างๆ
ส่วนหลักการและความมุ่งหมายข้อที่สามของมาตรฐานนี้ยังสนับสนุนการประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น Fair and Share ความเป็นธรรมในสังคม แฟร์ต่อผู้บริโภค แฟร์ต่อสิ่งแวดล้อม และก็แชร์มูลค่าและความรับผิดชอบนี้กลับลงไปยังสังคม
และข้อสุดท้ายก็กล่าวถึงมาตรฐานนี้ว่าเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคโดยแท้จริง
การร่วมมือกันจัดทำมาตรฐาน ACT C&H เป็นความร่วมมือทางวิชาการของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (Stakeholders) เพื่อที่จะนำเอาคุณค่าของสินค้าไทยและอาเซียนไปสู่เวทีโลก ขอให้พวกเรามาช่วยกันพัฒนาสินค้าให้ได้รับการรับรองกันให้มากๆ เพื่อที่ในอนาคตเราจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่อยู่บนเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Beauty market ซึ่งตลาดเติบโตมหาศาล นับว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นก้าวที่สำคัญของผู้ประกอบการไทยและภูมิภาคอาเซียนที่จะได้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่มีคุณภาพตอบสนองต่อกระแสการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างยั่งยืนออกไปสู่เวทีโลก